มะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งร้ายที่น่ากลัว
แม้มะเร็ง ปากมดลูกจะเป็นโรคที่ป้องกันและรักษาให้หายได้ แต่โรคมะเร็งปากมดลูก ยังคงครองแชมป์อันดับหนึ่งของมะเร็งที่คร่าชีวิต ผู้หญิงโดยมีอัตราการเสียชีวิตของ มะเร็งปากมดลูก เฉลี่ยสูงถึง 7 คนต่อวัน และพบผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก รายใหม่สูงถึง 6,000 คนต่อปีโดย ในจำนวนของผู้มีเชื้อนี้กว่าครึ่งต้องเสียชีวิตเนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มัก อาย และกลัวที่จะไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อมะเร็ง ทำให้กว่าจะรู้ว่าป่วยด้วย โรคมะเร็งปากมดลูก นี้ ความรุนแรงของโรคก็อยู่ในระยะลุกลามแล้ว..ดังนั้น วันนี้เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก มาให้คุณรู้เท่าทัน โรคมะเร็งปากมดลูก กันค่ะ
โรคมะเร็งปากมดลูก (Cancer of Cervix) เกิดจากเชื้อไวรัสตัวหนึ่งที่ชื่อว่า HPV (HumanPapilloma Virus) ภาษาไทยเรียกกันว่า ไวรัสหูดไวรัสชนิดนี้ติดต่อจากการสัมผัสส่วนใหญ่เป็นการสัมผัสทางเพศ สัมพันธ์ที่ทำให้มีรอยถลอกของผิวหรือเยื่อบุและเชื้อไวรัสจะเข้าไปที่ปาก มดลูกทำให้ปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อหรือเซลล์จากปากมดลูก ปกติกลายเป็นระยะก่อนเป็น มะเร็งปากมดลูก
ไว รัสเอชพีวี มีทั้งหมดกว่า 100 ชนิดแต่ที่ทำให้ติดเชื้ออวัยวะสืบพันธุ์มีประมาณ 30-40 ชนิดแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มเสี่ยงต่ำและกลุ่มเสี่ยงสูงกลุ่มเสี่ยงต่ำไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศหรือหูดที่กล่องเสียง ส่วนกลุ่มเสี่ยงสูงก่อมะเร็งต่างๆ ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด และมะเร็งปากช่องคลอด
สำหรับความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชพีวีดำเนินได้โดยง่ายเชื้อชนิดนี้เป็น เชื้อที่ทนทานต่อความร้อน และความแห้งได้ดีสามารถเกาะติดตามผิวหนัง อวัยวะเพศ เสื้อผ้าหรือแม้แต่กระจายอยู่รอบตัวในรูปของละอองฝุ่นซึ่งผู้หญิงทุกคนที่ เคยมีเพศสัมพันธ์ย่อมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี อย่าง ไรก็ตาม การติดเชื้อมักหายได้เอง ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย มีเพียง 10%เท่านั้น ที่การติดเชื้อยังดำเนินต่อไปสร้างความผิดปกติให้กับเยื่อบุปากมดลูก และทำให้กลายเป็นมะเร็งในเวลาต่อมาซึ่งเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจนกระทั่ง ก่อให้เกิด มะเร็งปากมดลูก ได้นั้น ใช้เวลานานประมาณ 10-15 ปี
ปัจจัยเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก
- การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
- การมีคู่นอนหลายคน หรือฝ่ายชายที่เราร่วมหลับนอนมีคู่นอนหลายคน
- การคลอดบุตรจำนวนหลายคน
- การสูบบุหรี่
- การมีภาวะคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะเป็นโรคเอดส์
- การสูบบุหรี่
- พันธุกรรม
- การขาดสารอาหารบางชนิด
ปัจจัยเสี่ยงจากฝ่ายชาย ที่อาจทำให้ผู้หญิงเป็น มะเร็งปากมดลูก
- ผู้ชายที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
- ผู้หญิงที่มีสามีเป็นมะเร็งองคชาติ
- ผู้หญิงที่มีสามีเคยมีภรรยาเป็น มะเร็งปากมดลูก
- ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคน
อาการและการรักษา โรค มะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งปากมดลูก มักพบในผู้หญิงอายุ 35 - 60 ปี แต่ก็อาจพบ มะเร็งปากมดลูก ก่อนวัยอันควรได้ ทั้งนี้ อาการของผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก จะมากหรือน้อยขึ้นกับระยะของมะเร็ง โดยในระยะแรกจะไม่มีอาการอะไรเลย ต่อมาอาจมีอาการตกเลือดทางช่องคลอด ซึ่งพบได้มากที่สุดประมาณร้อยละ 8090 ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก
เลือด ที่ออกอาจจะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน มีตกขาวผิดปกติกลิ่นเหม็น ตกขาวมีลักษณะคล้ายน้ำคาวปลา มีเลือดปน หรือมีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์มีเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน ปวดท้องน้อย หรือปวดบริเวณก้นกบร้าวลงขา ซีด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
ถ้าเป็นมากและมะเร็งลุกลามออกไปด้านข้างหรือลุกลามไปที่อุ้งเชิงกรานก็จะมี อาการปวดหลังได้ เพราะไปกดทับเส้นประสาท อาจถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายปัสสาวะลำบาก หรือมีอาการผิดปกติของระบบขับถ่ายอุจจาระได้ ในกรณีที่เป็นมาก เมื่อมะเร็งลุกลามไปสู่อวัยวะอื่น ๆ
โรค มะเร็งปากมดลูก แบ่งเป็น 0-4 ระยะ ดังนี้
ระยะ 0 คือ เซลล์มะเร็งยังไม่กระจาย วิธีรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะ 0 คือ ผ่าตัดเล็ก ซึ่งใช้เวลาเพียง 15 นาที และตรวจติดตามอาการ การรักษาระยะนี้ได้ผลเกือบ 100%
ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งอยู่ที่ปากมดลูก การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะ 1 คือผ่าตัดใหญ่ ผ่าตัดมดลูก เลาะต่อมน้ำเหลืองในเชิงกราน ซึ่งได้ผลดีถึง 80%
ระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งกระจายออกจากปากมดลูก โดยยังไม่ไปไกลมาก แต่ก็ไม่สามารถผ่าตัดได้ การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 2 นี้ ต้องรักษาด้วยการฉายรังสี และการให้เคมีบำบัด (คีโม) ได้ผลราว 60%
ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งกระจายชิดเชิงกราน การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 3 คือใช้รังสีรักษา และการให้เคมีบำบัด การรักษาระยะนี้ได้ผลประมาณ 20-30%
ระยะที่ 4 เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งกระจายทั่วร่างกาย การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 4 คือการให้คีโม และรักษาตามอาการ โดยหวังผลได้เพียง 5-10% และโอกาสรอดน้อยมาก แต่ก็ไม่แน่ โดยมีผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก บางรายสามารถอยู่ต่อได้นานถึง 1-2 ปี จึงเสียชีวิต
ผลข้างเคียงจากการรักษาโรค มะเร็งปากมดลูก
การผ่าตัด ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่อาจเกิดได้ ได้แก่ การตกเลือด การติดเชื้อ อันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียง
การฉายแสง (ระยะเวลา 1-2 เดือน) ผลข้างเคียง คือ ผิวแห้ง ปัสสาวะมีเลือดปน อ่อนเพลีย
ยาเคมีบำบัด ผลข้างเคียงคือ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง มือเท้าชา ซึ่งขึ้นกับยาแต่ละชนิดที่เลือกใช้
ผู้หญิงควรจะเริ่มตรวจหาโรค มะเร็งปากมดลูก เมื่อใด
ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ทุกช่วงอายุ ควรมาตรวจคัดกรองเชื้อ มะเร็งปากมดลูกหรือ
ที่เรียกว่า แพปสเมียร์ (Pap Smear) อย่างน้อยปีละ 1
ครั้งและผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ควรเริ่มเมื่อ อายุ 30
ปีขึ้นไปแต่ในกรณีที่เริ่มพบความผิดปกติแพทย์อาจนัดให้ไปตรวจถี่ขึ้น
ทั้งนี้ แพปสเมียร์ คือ วิธีการตรวจหาความผิดปกติ หรือโรค มะเร็งปากมดลูกที่
ค่อนข้างง่าย ใช้เวลาเพียง 23
นาทีเท่านั้นเป็นการตรวจที่ทำควบคู่ไปกับการตรวจภายในของผู้หญิงแพทย์จะสอด
เครื่องมือเข้าไปในช่องคลอด
โดยใช้ไม้ขนาดเล็กขูดเบาๆเพื่อเก็บเซลล์มาป้ายบนแผ่นกระจก
และนำไปตรวจหาความผิดปกติโดยก่อนที่จะตรวจ
ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมไม่ควรตรวจในช่วงระหว่างมีประจำเดือน
งดการมีเพศสัมพันธ์และงดการสวนล้างช่องคลอด หรือสอดยาใดๆ ก่อนเข้าทำการตรวจ ข้อดีคือ วิธีการตรวจแบบแพปสเมียร์นี้ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็น โรคมะเร็งปากมดลูก ได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์
วัคซีนโรค มะเร็งปากมดลูก
หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่องการรณรงค์ฉีดวัคซีนโรค มะเร็งปากมดลูก ความจริงแล้ว ระดับการป้องกันโรค มะเร็งปากมดลูกมี
หลายระดับ โดยระดับแรกของการป้องกันคือ
การฉีดวัคซีนที่เชื่อว่าลดความเสี่ยงได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้การป้องกันขั้นพื้นฐานด้วยการตรวจแพปสเมียร์เป็นประจำก็เป็นเรื่อง
สำคัญ
ทั้งนี้
ตามคำแนะนำของคณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งสหรัฐอเมริกาเด็กและหญิง
สาวที่อายุต่ำกว่า 26 ปี
ซึ่งไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนสามารถรับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ได้เลยโดยไม่จำ
เป็นต้องตรวจหาเชื้อเอชพีวีส่วนหญิงสาวที่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว
ควรตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูกหรือแพปสเมียร์เสียก่อน
เพราะเป็นไปได้ว่าอาจพบการติดเชื้อหรือมีความผิดปกติ
ซึ่งจะต้องทำการรักษาให้หายเสียก่อนจึงจะรับการฉีดวัคซีนได้ในเวลาต่อมา ส่วนวัยที่ควรเริ่มฉีดวัคซีนชนิดนี้คือ 9 ปีขึ้นไป และการใช้วัคซีนในผู้หญิงวัย 9 26 ปี จะป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
อย่า
ลืมหมั่นตรวจเช็คสุขภาพ
และความผิดปกติของร่างกายที่สำคัญอย่ากลัวหรืออายที่จะไปตรวจหาเชื้อ
มะเร็งปากมดลูก เพราะหากช้าไปโรคร้ายอาจทำลายคุณ
ที่มา www.kapook.com