SELECT autopage4_data_topic.IdTopic , autopage4_page_topic.DataDetail , autopage4_page_topic.TitleDetail FROM autopage4_page_topic INNER JOIN autopage4_data_topic ON autopage4_data_topic.IdTopic = autopage4_page_topic.IdTopic AND autopage4_data_topic.IdTopic = 1211

มะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งร้ายที่น่ากลัว


 

 แม้มะเร็ง ปากมดลูกจะเป็นโรคที่ป้องกันและรักษาให้หายได้ แต่โรคมะเร็งปากมดลูก ยังคงครองแชมป์อันดับหนึ่งของมะเร็งที่คร่าชีวิต ผู้หญิงโดยมีอัตราการเสียชีวิตของ มะเร็งปากมดลูก เฉลี่ยสูงถึง 7 คนต่อวัน และพบผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก รายใหม่สูงถึง 6,000 คนต่อปีโดย ในจำนวนของผู้มีเชื้อนี้กว่าครึ่งต้องเสียชีวิตเนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มัก อาย และกลัวที่จะไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อมะเร็ง ทำให้กว่าจะรู้ว่าป่วยด้วย โรคมะเร็งปากมดลูก นี้  ความรุนแรงของโรคก็อยู่ในระยะลุกลามแล้ว..ดังนั้น  วันนี้เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก มาให้คุณรู้เท่าทัน โรคมะเร็งปากมดลูก กันค่ะ  

           โรคมะเร็งปากมดลูก (Cancer of Cervix)  เกิดจากเชื้อไวรัสตัวหนึ่งที่ชื่อว่า HPV (HumanPapilloma Virus) ภาษาไทยเรียกกันว่า ไวรัสหูดไวรัสชนิดนี้ติดต่อจากการสัมผัสส่วนใหญ่เป็นการสัมผัสทางเพศ สัมพันธ์ที่ทำให้มีรอยถลอกของผิวหรือเยื่อบุและเชื้อไวรัสจะเข้าไปที่ปาก มดลูกทำให้ปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อหรือเซลล์จากปากมดลูก ปกติกลายเป็นระยะก่อนเป็น มะเร็งปากมดลูก

          ไว รัสเอชพีวี มีทั้งหมดกว่า 100 ชนิดแต่ที่ทำให้ติดเชื้ออวัยวะสืบพันธุ์มีประมาณ 30-40 ชนิดแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มเสี่ยงต่ำและกลุ่มเสี่ยงสูงกลุ่มเสี่ยงต่ำไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศหรือหูดที่กล่องเสียง ส่วนกลุ่มเสี่ยงสูงก่อมะเร็งต่างๆ ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด และมะเร็งปากช่องคลอด


 

สำหรับความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชพีวีดำเนินได้โดยง่ายเชื้อชนิดนี้เป็น เชื้อที่ทนทานต่อความร้อน และความแห้งได้ดีสามารถเกาะติดตามผิวหนัง อวัยวะเพศ เสื้อผ้าหรือแม้แต่กระจายอยู่รอบตัวในรูปของละอองฝุ่นซึ่งผู้หญิงทุกคนที่ เคยมีเพศสัมพันธ์ย่อมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี อย่าง ไรก็ตาม การติดเชื้อมักหายได้เอง ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย มีเพียง 10%เท่านั้น ที่การติดเชื้อยังดำเนินต่อไปสร้างความผิดปกติให้กับเยื่อบุปากมดลูก และทำให้กลายเป็นมะเร็งในเวลาต่อมาซึ่งเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจนกระทั่ง ก่อให้เกิด มะเร็งปากมดลูก ได้นั้น ใช้เวลานานประมาณ 10-15 ปี

ปัจจัยเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก

           - การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
           - การมีคู่นอนหลายคน หรือฝ่ายชายที่เราร่วมหลับนอนมีคู่นอนหลายคน
           - การคลอดบุตรจำนวนหลายคน
           - การสูบบุหรี่
           - การมีภาวะคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะเป็นโรคเอดส์  
           - การสูบบุหรี่
           - พันธุกรรม
           - การขาดสารอาหารบางชนิด
 
           ปัจจัยเสี่ยงจากฝ่ายชาย ที่อาจทำให้ผู้หญิงเป็น มะเร็งปากมดลูก

           - ผู้ชายที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
           - ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
           - ผู้หญิงที่มีสามีเป็นมะเร็งองคชาติ
           - ผู้หญิงที่มีสามีเคยมีภรรยาเป็น มะเร็งปากมดลูก
           - ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคน

อาการและการรักษา โรค มะเร็งปากมดลูก
 
           โรคมะเร็งปากมดลูก มักพบในผู้หญิงอายุ 35 - 60 ปี แต่ก็อาจพบ มะเร็งปากมดลูก ก่อนวัยอันควรได้  ทั้งนี้ อาการของผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก จะมากหรือน้อยขึ้นกับระยะของมะเร็ง โดยในระยะแรกจะไม่มีอาการอะไรเลย ต่อมาอาจมีอาการตกเลือดทางช่องคลอด ซึ่งพบได้มากที่สุดประมาณร้อยละ 80෶90 ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก

          เลือด ที่ออกอาจจะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน มีตกขาวผิดปกติกลิ่นเหม็น ตกขาวมีลักษณะคล้ายน้ำคาวปลา มีเลือดปน หรือมีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์มีเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน ปวดท้องน้อย หรือปวดบริเวณก้นกบร้าวลงขา ซีด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

          ถ้าเป็นมากและมะเร็งลุกลามออกไปด้านข้างหรือลุกลามไปที่อุ้งเชิงกรานก็จะมี อาการปวดหลังได้ เพราะไปกดทับเส้นประสาท อาจถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายปัสสาวะลำบาก หรือมีอาการผิดปกติของระบบขับถ่ายอุจจาระได้ ในกรณีที่เป็นมาก เมื่อมะเร็งลุกลามไปสู่อวัยวะอื่น ๆ


           โรค มะเร็งปากมดลูก แบ่งเป็น 0-4 ระยะ ดังนี้
 
           ระยะ 0  คือ เซลล์มะเร็งยังไม่กระจาย วิธีรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะ 0 คือ ผ่าตัดเล็ก ซึ่งใช้เวลาเพียง 15 นาที และตรวจติดตามอาการ การรักษาระยะนี้ได้ผลเกือบ 100%

           ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งอยู่ที่ปากมดลูก การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะ 1 คือผ่าตัดใหญ่ ผ่าตัดมดลูก เลาะต่อมน้ำเหลืองในเชิงกราน ซึ่งได้ผลดีถึง 80%

            ระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งกระจายออกจากปากมดลูก โดยยังไม่ไปไกลมาก แต่ก็ไม่สามารถผ่าตัดได้ การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 2 นี้ ต้องรักษาด้วยการฉายรังสี และการให้เคมีบำบัด  (คีโม) ได้ผลราว 60%

            ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งกระจายชิดเชิงกราน การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 3 คือใช้รังสีรักษา และการให้เคมีบำบัด การรักษาระยะนี้ได้ผลประมาณ 20-30%

           ระยะที่ 4 เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งกระจายทั่วร่างกาย การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 4 คือการให้คีโม และรักษาตามอาการ โดยหวังผลได้เพียง 5-10% และโอกาสรอดน้อยมาก แต่ก็ไม่แน่ โดยมีผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก บางรายสามารถอยู่ต่อได้นานถึง 1-2 ปี จึงเสียชีวิต

ผลข้างเคียงจากการรักษาโรค มะเร็งปากมดลูก

           การผ่าตัด ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่อาจเกิดได้ ได้แก่ การตกเลือด การติดเชื้อ อันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียง
           การฉายแสง (ระยะเวลา 1-2 เดือน) ผลข้างเคียง คือ ผิวแห้ง ปัสสาวะมีเลือดปน อ่อนเพลีย
           ยาเคมีบำบัด ผลข้างเคียงคือ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง มือเท้าชา ซึ่งขึ้นกับยาแต่ละชนิดที่เลือกใช้
 
ผู้หญิงควรจะเริ่มตรวจหาโรค มะเร็งปากมดลูก เมื่อใด
 
           ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ทุกช่วงอายุ ควรมาตรวจคัดกรองเชื้อ มะเร็งปากมดลูกหรือ ที่เรียกว่า แพปสเมียร์ (Pap Smear)   อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งและผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ควรเริ่มเมื่อ อายุ 30 ปีขึ้นไปแต่ในกรณีที่เริ่มพบความผิดปกติแพทย์อาจนัดให้ไปตรวจถี่ขึ้น 
 
           ทั้งนี้ แพปสเมียร์ คือ วิธีการตรวจหาความผิดปกติ หรือโรค มะเร็งปากมดลูกที่ ค่อนข้างง่าย ใช้เวลาเพียง 2෶3 นาทีเท่านั้นเป็นการตรวจที่ทำควบคู่ไปกับการตรวจภายในของผู้หญิงแพทย์จะสอด เครื่องมือเข้าไปในช่องคลอด โดยใช้ไม้ขนาดเล็กขูดเบาๆเพื่อเก็บเซลล์มาป้ายบนแผ่นกระจก และนำไปตรวจหาความผิดปกติโดยก่อนที่จะตรวจ ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมไม่ควรตรวจในช่วงระหว่างมีประจำเดือน งดการมีเพศสัมพันธ์และงดการสวนล้างช่องคลอด หรือสอดยาใดๆ ก่อนเข้าทำการตรวจ ข้อดีคือ วิธีการตรวจแบบแพปสเมียร์นี้ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็น โรคมะเร็งปากมดลูก ได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์
 
วัคซีนโรค มะเร็งปากมดลูก
 
           หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่องการรณรงค์ฉีดวัคซีนโรค มะเร็งปากมดลูก ความจริงแล้ว ระดับการป้องกันโรค มะเร็งปากมดลูกมี หลายระดับ โดยระดับแรกของการป้องกันคือ การฉีดวัคซีนที่เชื่อว่าลดความเสี่ยงได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้การป้องกันขั้นพื้นฐานด้วยการตรวจแพปสเมียร์เป็นประจำก็เป็นเรื่อง สำคัญ 
 
          ทั้งนี้ ตามคำแนะนำของคณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งสหรัฐอเมริกาเด็กและหญิง สาวที่อายุต่ำกว่า 26 ปี ซึ่งไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนสามารถรับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ได้เลยโดยไม่จำ เป็นต้องตรวจหาเชื้อเอชพีวีส่วนหญิงสาวที่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว ควรตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูกหรือแพปสเมียร์เสียก่อน เพราะเป็นไปได้ว่าอาจพบการติดเชื้อหรือมีความผิดปกติ ซึ่งจะต้องทำการรักษาให้หายเสียก่อนจึงจะรับการฉีดวัคซีนได้ในเวลาต่อมา ส่วนวัยที่ควรเริ่มฉีดวัคซีนชนิดนี้คือ 9 ปีขึ้นไป และการใช้วัคซีนในผู้หญิงวัย 9 ෶ 26 ปี จะป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด  

          อย่า ลืมหมั่นตรวจเช็คสุขภาพ และความผิดปกติของร่างกายที่สำคัญอย่ากลัวหรืออายที่จะไปตรวจหาเชื้อ มะเร็งปากมดลูก เพราะหากช้าไปโรคร้ายอาจทำลายคุณ

ที่มา www.kapook.com