SELECT autopage4_data_topic.IdTopic , autopage4_page_topic.DataDetail , autopage4_page_topic.TitleDetail FROM autopage4_page_topic INNER JOIN autopage4_data_topic ON autopage4_data_topic.IdTopic = autopage4_page_topic.IdTopic AND autopage4_data_topic.IdTopic = 1408
ปัจจัยที่ช่วยให้ลูกของคุณฉลาดมากขึ้น
ปัจจัยที่ช่วยให้ลูกของคุณฉลาดมากขึ้น
ถาม พ่อแม่ 100 คน ว่าอยากให้ลูกฉลาดหรือไม่ คำตอบก็คงเหมือนกันทั้ง 100 คน แต่ทำอย่างไรดีล่ะที่จะทำให้ลูกฉลาด ถ้าเป็นสมัยก่อนก็จะบอกว่า เป็นไปตามบุญ ตามกรรม หรือพรสวรรค์ของคนนั้น
ถัด
มาอีกหน่อยก็บอกว่าพ่อแม่ฉลาดลูกก็ฉลาด แต่ปัจจุบัน
ความฉลาดเป็นเรื่องที่พ่อแม่สามารถเสริมให้ลูกได้มากขึ้น
และปัจจัยที่สำคัญที่สุด ก็คือ
พ่อแม่จะสามารถส่งเสริมความฉลาดของลูกได้มากน้อยแค่ไหน
ฉบับนี้เรามาดูกันว่า อะไรบ้างที่ทำให้ลูกฉลาด และพ่อแม่จะมีวิธีส่งเสริมให้ลูกฉลาดได้อย่างไร
|
1.พันธุกรรม
คือ
การถ่ายทอดลักษณะจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อไป เช่น สีผม สีตา ความสูง
โรคบางชนิด รูปร่าง รวมถึงสติปัญญาบางส่วน (จากการวิจัยมีรายงานว่ามีส่วน
48%) ในส่วนของพันธุกรรม เราคงไม่สามารถไปแก้ไขอะไรได้
พ่อแม่ทำได้
การ
เตรียมพร้อมสุขภาพลูก ตามหลักความเป็นจริง
ต้องเตรียมตั้งแต่ยังไม่ตั้งครรภ์กันเลยทีเดียว คุณแม่ต้องมีร่างกายแข็งแรง
เสริมวิตามินโฟเลต เพื่อป้องกันภาวะกะโหลกศีรษะไม่ปิด และมีการเช็กสุขภาพ
ตรวจเลือด เพื่อดูว่าร่างกายยังไม่มีภูมิคุ้มกันใด ๆ
จะได้ฉีดวัคซีนก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคนั้น ๆ
ระหว่างตั้งครรภ์ เพราะบางโรคมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตต่อลูกในท้องเป็นอย่างมาก
รวม
ทั้งค้นหาความเสี่ยงของการเกิดโรคธาลัสซีเมีย หรือไม่ ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์
เพราะคนไทยมีพาหะของโรคนี้ค่อนข้างเยอะ ทำให้ถ่ายทอดไปยังลูก
ถ้ามีลูกเมื่อแม่มีอายุเยอะหรือญาติสนิทเคยเป็นโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยว
กับสมอง ที่เห็นได้เด่นชัด เช่น ดาวน์ซินโดรม ควรได้รับการเจาะน้ำคร่ำ
เมื่ออายุครรภ์ได้ 4 เดือน
เพื่อจะได้มีการวินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีการวางแผนก่อนการตั้งครรภ์ และมีการดูแลครรภ์ที่ดีจะลดปัญหาเรื่องความผิดปกติของลูกไปได้มากมาย
|
2.อาหาร
นอก
จากอาหารจะช่วยให้ลูกน้อยเจริญเติบโตแล้ว
สารอาหารบางชนิดส่งผลโดยตรงต่อความฉลาดของลูก
เพราะสารอาหารจะเข้าไปมีส่วนช่วยในพัฒนาการของการเจริญเติบโตของสมองฉะนั้น
ถ้าเด็กมีภาวะขาดสารอาหาร จะมีผลต่อการเรียนรู้
จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการขาดสารอาหาร
มีผลงานวิจัยที่ชัดเจนว่า เด็กที่ได้รับสารอาหารที่ดีจะมีประสิทธิภาพใน
การอ่าน การคิดเลขที่ดีกว่าเด็กที่ขาดสารอาหาร และในเด็กบางกลุ่ม
อาจจะมีปัญหาโรคสมาธิสั้นก็เป็นได้ ฉะนั้นการให้ลูกรับประทานอาหารครบทั้ง 5
หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอ จะทำให้พัฒนาการทั้งร่างกาย
การเรียนรู้เป็นไปอย่างสมบูรณ์
สารอาหารที่สมองต้องการเป็นพิเศษ เช่น
กรด
ไขมันโอเมก้า 3 หรือ DHA : มีการเสนอผลงานของการตรวจระดับ DHA
ในเลือดของเด็กอายุ 4 ปี ที่มีสุขภาพแข็งแรงพบว่า ถ้ายิ่งมี DHA
ในเลือดมากเท่าใด เด็กก็จะทำแบบทดสอบ
ด้านการรับรู้ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น โอเมก้า 3 มีผลต่อระบบการทำงานของสมอง
และระบบประสาท (จอตา) รวมทั้งช่วยปกป้องการทำงานของหัวใจให้เป็นไปตามปกติ
ซึ่งอาหารที่พบโอเมก้า 3 มากก็คือ ปลาทะเล ปลาน้ำจืด ผักใบเขียว
ธาตุเหล็ก : เราอาจจะคุ้นเคยกับประโยชน์ของธาตุเหล็กในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือด
แต่ธาตุเหล็กก็ยังมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างไขมันสมอง และสารเคมีในสมอง
ซึ่งทำให้การทำงานของสารเคมีเป็นไปอย่างปกติ การเรียนรู้ของลูกน้อยก็จะดีไปด้วยเช่นกัน
พ่อแม่ทำได้
การ
เตรียมอาหารให้ลูกด้วยตัวเอง ยังคงเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ
เพราะอาหารที่ทำเองย่อมสะอาดกว่าอาหารนอกบ้าน
คุณพ่อคุณแม่สามารถกำหนดรสชาติ และความสดของวัตถุดิบ รวมถึงให้ลูกคุ้นเคยกับการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ไม่พึ่งพาอาหารนอกบ้านมากเกินไป
|
3.ออกกำลังกาย
การ
ออกกำลังกายของเด็กเล็ก ๆ นั้นดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต
เพราะเด็กวัยเตาะแตะ เป็นวัยที่กำลังพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ
ให้แข็งแรงและคล่องแคล่ว เด็กอยากจะเดินจะวิ่งและเล่นอยู่เกือบตลอดเวลา
การ
ออกกำลังกาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับความฉลาดของลูก
เพราะเมื่อร่างกายได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิตแข็งแรง
ปอดมีการแลกเปลี่ยนออกซิเจน
เพิ่ม มีความสุข สบายใจ เนื่องจากร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟิน
และหลับสนิทได้ต่อเนื่องร่างกายก็จะหลั่ง Growth Hormones
เมื่อร่างกายพร้อมก็ ย่อมพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน
พ่อแม่ทำได้
สิ่ง
ที่พ่อแม่ควรส่งเสริม คือ ให้ลูกมีโอกาสได้เล่นกลางแจ้ง
จัดสถานที่ให้ปลอดภัยต่อการหัดเดิน หัดวิ่งของลูก คอยระวังเรื่องอากาศบ้าง
ถ้าลูกเล่นมาก เหงื่อออกมาก อย่าลืมป้อนน้ำลูกให้บ่อยขึ้น และสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
|
4.คำพูดของผู้ใหญ่ในบ้าน
หลาย
ท่านอาจจะงงว่าแค่ "คำพูด" จะสำคัญอะไรกับความฉลาดของลูก
แต่ถ้าลองนึกถึงพฤติกรรมของลูกให้ดี
จะเห็นว่าวัยนี้สามารถใช้ภาษาสื่อสารได้ดี มีทั้งความอยากรู้ อยากสัมผัส
อยากทดลอง อยากเลียนแบบ ฉะนั้นถ้าเด็กได้รับประสบการณ์ที่ดี ก็จะสะสมสิ่งเหล่านั้นจนกลายเป็นความเข้าใจ และนำไปใช้ในที่สุด
ดัง
นั้นถ้าพ่อแม่เปิดโอกาสให้สมองของลูกมีการเรียนรู้ ได้คิด ได้ลองทำ ทดลอง
โดยไม่ตีกรอบมากจนเกินไปด้วยคำพูดของผู้ใหญ่ที่บอกว่า "อย่ากระโดดนะ
เดี๋ยวล้ม", "อย่าเอามือไปจับสีสิลูกสกปรก",
"อย่าเล่นทรายนะ เดี๋ยวเข้าตา" ฯลฯ ด้วยคำว่า "อย่า" หรือการห้ามทำ
เท่ากับเป็นการปิดโอกาสการเรียนรู้ของลูก
แต่ถ้าพ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกได้ทดลอง ได้หยิบจับ โดยดูแลเรื่อง
ความปลอดภัยให้แล้ว ลูกจะสนุกกับการค้นหา ทดลอง พ่อแม่เพียงแต่แนะนำ
กระตุ้นให้ลองทำ เท่ากับเป็นการเสริมให้ลูกใช้สมองอย่างเต็มที่
พ่อแม่ทำได้
การ
พูดกับลูกและสมาชิกในครอบครัว ด้วยคำพูดที่อ่อนหวาน รักษาจิตใจกัน
ลูกจะจดจำและเลียนแบบคำพูด และลักษณะนั้น ๆ เกิดความไว้ใจคนในครอบครัว
และพ่อแม่ควรพาลูกไปรู้จักกับ
คนอื่น ๆ บ้าง เป็นการส่งเสริมให้ลูกรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น
เพื่อให้มีสัมพันธภาพ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
|
5.ไม่เปิดโทรทัศน์เลี้ยงลูก
หลาย
ปีมานี้
คุณแม่คงเคยได้ยินหรือได้รับทราบข่าวสารถึงพิษภัยของทีวีกับเด็กเล็กมาบ้าง
ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
การพัฒนาการเด็กค่อนข้างให้ความสำคัญ และเป็นประเด็นกันบ่อยครั้ง
ว่าการเปิดทีวีให้เด็กดูนั้น ไม่ได้ช่วยพัฒนาสมองเด็ก
แถมยังเป็นหนามแหลมกลับมาทำร้ายลูกเราได้ด้วย
มีการวิจัยรับรองมากมายว่าการให้เด็กเล็กดูทีวีมีผลเสีย บางรายเป็นโรคสมาธิสั้นเพราะทีวี
ภาพ
เคลื่อนไหวหน้าจอจะดึงดูดความสนใจของเด็ก ซึ่งเด็กจะได้ดูภาพ
(ได้แค่ภาพสองมิติ) กับได้ยินเสียง แต่ไม่สามารถตอบโต้กับเด็กได้
และเป็นการรับสารฝ่ายเดียว ซึ่งขัดกับหลักการเรียนรู้
ของเด็กที่ต้องเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหก
แต่ทีวีตอบสนองสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เมื่อเด็กได้ดูทีวีมาก ๆ
สมองที่ควรจะได้รับการเรียนรู้ กลับไม่ได้รับการกระตุ้น
ทำให้สมองส่วนรับประสาทสัมผัสอื่น
ๆ ฝ่อไป (สมองจะดีได้ ต้องถูกใช้งานเป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ)
แถมรายการที่ฉายก็ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก ทั้งในเรื่องภาพ คำพูด
หรือการโฆษณาต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ไม่น่าเลียนแบบ ฉะนั้นถ้าพ่อแม่ยังคิดว่า การเลี้ยงลูกด้วยทีวีเป็นเรื่องง่าย สามารถหยุดความซนของลูกวัยนี้ได้ ก็เท่ากับทำร้ายลูกตัวเองในระยะยาวก็เป็นได้
พ่อแม่ทำได้
การ
หากิจกรรมอื่น ๆ ให้ลูกทำ สิ่งที่ลูกได้จะไม่ใช่คำพูดแปลก ๆ เลียนแบบในจอ
หรือท่าทางเลียนแบบตัวการ์ตูน แต่จะได้ประสบการณ์จากการเล่น ได้จับ
ได้สัมผัส ที่สำคัญคือ ได้คิดต่อยอดสิ่งที่ตัวเองได้เล่น เช่น
|
โดย
สรุปแล้ว ความฉลาดของลูกนั้น ขึ้นอยู่กับสองมือของพ่อและแม่
ที่จะช่วยกันสร้างลูกขึ้นมา
ให้เป็นเด็กที่มีความฉลาดจากการเรียนรู้ที่มีพ่อแม่คอยส่งเสริม
หรือฉลาดแบบตามธรรมชาตืแล้วปล่อยเป็นหน้าที่ของคุณครูเมื่อถึงเวลาเข้า
โรงเรียนเท่านั้น ก็เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจค่ะ
ที่มา www.kapook.comที่มาภาพwww.imall4you.com