ลดน้ำหนักถูกวิธี ไม่แก่ก่อนวัย ไร้โยโย่ชัวร์
ลดน้ำหนักถูกวิธี ไม่แก่ก่อนวัย ไร้โยโย่ชัวร์
สาว ๆ ที่หาสารพัดวิธีมาลดความอ้วน คงจะรู้สึกเซ็งที่ลดยังไงก็ไม่ได้ผล แถมบางคนเมื่อน้ำหนักลดไปได้นิดนึงแล้ว ไม่กี่สัปดาห์น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิมเสียอีก แบบนี้สงสัยจะเป็นโยโย่เอฟเฟกต์ซะแล้วสิ หากใครไม่อยากเป็นแบบนี้ ก่อนจะลดความอ้วนควรเข้าใจเสียก่อนว่า วิธีการลดความอ้วนที่ถูกวิธีต้องเป็นอย่างไร
ลองมาฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ที่รายการสโมสรสุขภาพ ปี 6 ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี นำมาบอกต่อกัน หากทำได้ รับรองว่า คุณจะลดน้ำหนักได้ แถมยังไม่แก่ และไม่โยโย่ด้วย ขอบอกว่าไม่ยากเลย
งานนี้ นพ.ตนุพล วิรุฬหการุฯ ผอ.ศูนย์แบงค็อก รอยัลไลฟ์ แอนไทน์-เอจจิง โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้อธิบายก่อนเลยว่า จริง ๆ แล้ว การลดน้ำหนักไม่ใช่การทำให้ตัวเลขบนตาชั่งลดลงอย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน เพราะตัวเลขบนตาชั่งนั้นเป็นการรวมน้ำหนักของทั้งร่างกาย ทั้งกล้ามเนื้อ เลือด กระดูก ไขมัน ปัสสาวะ อุจจาระ ฯลฯ
เชื่อว่า ทุกคนที่มุ่งมั่นในการลดน้ำหนักมักจะใช้วิธีคล้าย ๆ กัน คือ อดข้าวเย็น ทานอาหารลดน้ำหนัก หรือไปออกกำลังกายให้มาก ๆ ซึ่งบางคนก็ลดตัวเลขบนตาชั่งลงไปได้ 5-10 กิโลกรัม แต่หารู้ไม่ว่า ตัวเลขที่ลดไปนั้นอาจเกิดจากร่างกายของเราขาดสารอาหารก็ได้ สิ่งที่เสียไปอาจเป็นกล้ามเนื้อ 2 กิโลกรัม กระดูก 2 กิโลกรัม มีไขมันหายไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น นี่คือสาเหตุที่หลายคนลดน้ำหนักแล้วดูผอมแบบโทรมคล้ายคนไม่สบาย เพราะเราเสียของดีไปด้วย แต่เอวไม่เล็กลงเลย
ส่วนคำว่า "โยโย่ เอฟเฟกต์" นั้น คุณหมอ อธิบายว่า เกิดจากการที่ร่างกายพยายามรักษาตัวเองไว้ให้เรากินกลับไปมาก ๆ หลังจากอดมานาน เหมือนกับเขื่อนแตก เพราะฉะนั้น การลดน้ำหนักที่ถูกต้อง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขบนตาชั่ง แต่มุ่งเน้นการกำจัดไขมันส่วนเกินต่างหาก ซึ่งการวัดไขมันที่ลดลงจะวัดที่สัดส่วน แม้น้ำหนักจะลดลงนิดเดียว แต่ถ้าเอวเล็กลง 1-2 นิ้ว ถือว่าดีมาก ซึ่งการใช้ Obesity Medicine ก็ช่วยให้ไขมันส่วนเกินลดได้ โดยไม่ต้องไปยุ่งกับน้ำหนัก เพื่อเอาของไม่ดีออกมา แต่ของดีก็ยังคงอยู่
"ความสำคัญอยู่ที่ถ้าเราลดน้ำหนักแล้วปล่อยให้ของดี อย่างกล้ามเนื้อออกไปจากการอดอาหาร เราจะดูแก่ลง แต่เมื่อไหร่ที่เราลดเฉพาะไขมันออกไป ทำให้เซลลูไลต์หาย เอวเล็ก แขนเล็ก สะโพกเล็ก ก็หมายความว่า หลอดเลือดเรามีไขมันน้อยลง ตับก็มีไขมันดีขึ้น ร่างกายก็ดีขึ้น เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าไขมันลดลง เราจะดูอายุน้อยลงเช่นกัน เพราะการไหลเวียนดีขึ้น" นพ.ตนุพล อธิบาย
คุณหมอ บอกอีกว่า มีงานวิจัยคร่าว ๆ พบว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เอวเราขยายขึ้น 1 นิ้ว นั่นหมายความว่า เราอาจจะเข้าสู่การเป็นโรคและเสียชีวิตไวขึ้นกว่าเดิม 2 ปี กลับกัน ถ้าเอวเราเล็กลง 1 นิ้ว เราก็จะมีอายุยืนขึ้นประมาณ 2 ปี ดังนั้น Obesity Medicine จึงให้ความสำคัญกับปริมาณไขมันที่น้อยลง ซึ่งจะทำให้คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์น้อยลงไปด้วย
นอกจากนี้ นพ.ตนุพล ยังแนะนำให้ทานข้าวให้ครบ 3 มื้อ เพราะการอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งจะทำให้น้ำหนักขึ้นแน่ในบั้นปลาย พร้อมกับระบุว่า ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือ กินอาหารน้อยแต่ไม่ค่อยเผาผลาญ พอไปกินมื้อใหญ่ ๆ ในช่วงเทศกาล น้ำหนักกลับขึ้นมาหลายกิโลกรัม สิ่งเหล่านี้อาจมาจากภาวะฮอร์โมนที่ไม่สมดุลในร่างกาย คือ เมตาบอลิซึ่ม ที่แต่ละคนมีภาวะสุขภาพไม่เหมือนกัน อาจต้องเจาะเลือดมาดู เพื่อหาวิธีการช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ดี ในตอนท้าย คุณหมอก็ได้แนะนำวิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้องด้วยว่า วิธีง่าย ๆ ก็คือ มื้อเช้าต้องทานอาหาร จะเป็นอาหารอะไรก็ได้ ส่วนมื้อกลางวันให้ทานอย่างเหมาะสม แต่มื้อเย็นต้องไม่กินแป้งเลย อาจทานโปรตีน ผัก เพื่อจะได้ช่วยไล่เซลลูไลต์ออกไป แต่อย่าอดอาหาร แล้วเพิ่มการออกกำลังกายให้ได้วันละ 20 นาที ก็จะช่วยลดไขมันส่วนเกินได้มาก
อ่านจบแล้ว คุณสาว ๆ คงจะคิดในใจว่า "แหม...เข้าใจผิดมาตลอดเลยนะเนี่ย" เพราะหลายคนยึดตัวเลขบนตาชั่งมาโดยตลอดใช่ไหมล่ะ เอาเป็นว่าได้รู้หลักการลดน้ำหนักที่ถูกต้องแล้ว ก็มาเริ่มต้นกันใหม่ ลดน้ำหนักคราวนี้ไม่ต้องกลัวแก่ ไม่ต้องกลัวโยโย่แล้วนะ
ที่มา ww.kapook.com