SELECT autopage4_data_topic.IdTopic , autopage4_page_topic.DataDetail , autopage4_page_topic.TitleDetail FROM autopage4_page_topic INNER JOIN autopage4_data_topic ON autopage4_data_topic.IdTopic = autopage4_page_topic.IdTopic AND autopage4_data_topic.IdTopic = 986

จิบชาอย่างไรให้สุขกายทุกวัน


จิบชาอย่างไรให้สุขกายทุกวัน

 

  ประชากรที่สืบทอดวัฒนธรรมการดื่มชากันมายาวนานอย่าง ชาวจีน ชาวญี่ปุ่น หรือแม้แต่ประชากรในแถบตะวันตกบางประเทศ เช่น ชาวไอริช มีค่านิยมดื่มน้ำชาแทนน้ำเปล่า เพราะพวกเขาเชื่อว่าใบชาเป็นสิ่งที่ได้จากธรรมชาติ ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพหากได้ดื่มเป็นประจำทุกวัน

          สำหรับในบ้านเราที่นิยมดื่มชาเขียว ชาขาว หรือชาดำที่ชงสำเร็จบรรจุขวดไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพเท่าไหร่นัก เพราะร่างกายเราจะได้รับน้ำตาลในปริมาณมากกว่าได้คุณค่าจากชา ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว สุขกายสบายใจฉบับนี้เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการดื่มชาว่าควรดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดมาบอก

ดื่มชาชงร้อนดีที่สุด

          ในใบชามีสารอาหารชีวภาพมากกว่า 200 ชนิด รวมถึงสารอาหารสำคัญในใบชา เช่น คาเทชิน (Catechin) ซึ่งเป็นสารประกอบมีฤทธิ์ดักจับอนุมูลอิสระ และธีอะนิน (Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนในชาที่ทำงานสัมพันธ์กับเส้นประสาททำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งหากชงแบบร้อนแล้วดื่มทันทีจะได้รับประโยชน์จากสารอาหารในใบชามากกว่าชงดื่มแบบเย็น ที่สำคัญคือ เมื่อชงแล้วควรดื่มให้หมด ไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะสารคาเทชินจะดักจับและรวมตัวกับออกซิเจน ทำให้น้ำชามีสีคล้ำลง มีรสชาติฝาดชัดเจนเพราะมีกรดแทนนินสูง (Tannin) หากดื่มชาตอนชามีรสฝาดจะส่งผลต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ คือดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม

ดื่มชาหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมงเพื่อช่วยย่อย

          หลังรับประทานอาหารแล้ว 2-3 ชั่วโมงควรดื่มชาชงแก่ เพื่อกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ช่วยย่อยอาหารจำพวก วิตามิน สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และผู้ที่นิยมจิบชา แทนน้ำเปล่า แนะนำว่าควรจิบชาชงอ่อน เพราะการดื่มชาชงแก่จะไปกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดออกมามากขึ้น ซึ่งจะเกิดการระคายเคืองที่กระเพาะอาหารได้


ชา


จิบชาอย่างไรให้สุขกายทุกวัน (สุขกายสบายใจ)
เรื่อง : สุธารัชฎ์ รัตนารามิก

          ประชากรที่สืบทอดวัฒนธรรมการดื่มชากันมายาวนานอย่าง ชาวจีน ชาวญี่ปุ่น หรือแม้แต่ประชากรในแถบตะวันตกบางประเทศ เช่น ชาวไอริช มีค่านิยมดื่มน้ำชาแทนน้ำเปล่า เพราะพวกเขาเชื่อว่าใบชาเป็นสิ่งที่ได้จากธรรมชาติ ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพหากได้ดื่มเป็นประจำทุกวัน

          สำหรับในบ้านเราที่นิยมดื่มชาเขียว ชาขาว หรือชาดำที่ชงสำเร็จบรรจุขวดไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพเท่าไหร่นัก เพราะร่างกายเราจะได้รับน้ำตาลในปริมาณมากกว่าได้คุณค่าจากชา ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว สุขกายสบายใจฉบับนี้เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการดื่มชาว่าควรดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดมาบอก

ดื่มชาชงร้อนดีที่สุด

          ในใบชามีสารอาหารชีวภาพมากกว่า 200 ชนิด รวมถึงสารอาหารสำคัญในใบชา เช่น คาเทชิน (Catechin) ซึ่งเป็นสารประกอบมีฤทธิ์ดักจับอนุมูลอิสระ และธีอะนิน (Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนในชาที่ทำงานสัมพันธ์กับเส้นประสาททำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งหากชงแบบร้อนแล้วดื่มทันทีจะได้รับประโยชน์จากสารอาหารในใบชามากกว่าชงดื่มแบบเย็น ที่สำคัญคือ เมื่อชงแล้วควรดื่มให้หมด ไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะสารคาเทชินจะดักจับและรวมตัวกับออกซิเจน ทำให้น้ำชามีสีคล้ำลง มีรสชาติฝาดชัดเจนเพราะมีกรดแทนนินสูง (Tannin) หากดื่มชาตอนชามีรสฝาดจะส่งผลต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ คือดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม

ดื่มชาหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมงเพื่อช่วยย่อย

          หลังรับประทานอาหารแล้ว 2-3 ชั่วโมงควรดื่มชาชงแก่ เพื่อกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ช่วยย่อยอาหารจำพวก วิตามิน สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และผู้ที่นิยมจิบชา แทนน้ำเปล่า แนะนำว่าควรจิบชาชงอ่อน เพราะการดื่มชาชงแก่จะไปกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดออกมามากขึ้น ซึ่งจะเกิดการระคายเคืองที่กระเพาะอาหารได้





ดื่มชาเขียว 2 ถ้วย ช่วยป้องกันอาการหลงลืม

          จากผลการศึกษาในผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียวทุกวันอย่างน้อย 2 ถ้วยพบว่า มีอาการสูญเสียความจำ และหลงลืมน้อยกว่าคนในวัยเดียวกัน สาเหตุเป็นเพราะกรดอะมิโนแอล-ธีอะนิน (L-theanine) ในใบชามีคุณสมบัติกระตุ้นคลื่นอัลฟ่าในสมอง ทำให้รู้สึกสงบ จิตใจไม่วอกแว่ก มีสมาธิ สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำได้ในระยะหนึ่ง โดยกรดอะมิโนชนิดนี้มีอยู่ในใบชาทุกชนิด แต่จะพบมากที่สุดในชาเขียว

          หลายคนคิดว่าหากดื่มชาในปริมาณน้อยต่อวันดีต่อสุขภาพมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชาที่ดีต่อสุขภาพ คือชาที่ไม่ใส่น้ำตาล ซึ่งเราสามารถดื่มได้มากถึง 4-9 ถ้วยต่อวัน หรือใช้จิบแทนน้ำเปล่าได้ แต่หลัง 5 โมงเย็นไปแล้วควรงดดื่ม เพราะฤทธิ์กาเฟอีน จะไปกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว ส่งผลให้นอนไม่หลับได้

อีก 2 ประโยชน์ อันโดดเด่นของน้ำชา

          ชาชงร้อน 4 ถ้วยทุกวันบำรุงกระดูกและฟัน ด้วยสารไฟโตเคมีคอลในใบชาช่วยบำรุงกระดูกไม่ให้เปราะบางลง แนะนำว่าควรดื่มชาชงร้อนไม่ใส่น้ำตาลอย่างน้อย 4 ถ้วยต่อวัน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและฟัน

          นอกจากนี้ การดื่มชาเขียว 5 แก้วทุกวันช่วยลดการสะสมไขมัน ด้วยสารโพลีฟีนอลที่มีคุณสมบัติลดการสะสมไขมัน และยับยั้งการดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกาย หากดื่ม 5 แก้วต่อวันก็สามารถช่วยเผาผลาญแคลอรีได้สูงถึง 70-80 แคลอรี


  เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย 

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ



ที่มา www.kapook.com